
ความเชื่อ ผู้ใดมีเพชร ไว้ครอบครองจะทำให้ร่ำรวย มีอำนาจ เป็นที่เกรงขาม ชีวิตรุ่งเรือง และชนะศัตรูทุกมวล
เพชรมีคุณสมบัติของความวาวและประกาย (Luster and Brilliancy) เรียกว่า “ไฟ” ถ้ามีความวาวและประกายสูงก็จะเรียกได้ว่ามีไฟดี หรือเล่นไฟเป็น
ประกาย และคุณสมบัติของความโปร่งใส (Degree of Transparency) ที่ในภาษาพูดเรียกกันว่า “น้ำ” เพชรที่ได้รับการเจียระไนอย่างได้สัดส่วนจะมีความสามารถในการรวมแสงกลับมาสู่ผู้มอง ทำให้มองเห็นเพชรส่องประกายสวยงามเพชรมีสีตั้งแต่ขาวบริสุทธิ์ จนถึงเหลืองอมเขียว ราคาของเพชรก็จะขึ้นอยู่กับสีของเพชรเช่นกัน สิ่งที่บ่งบอกคุณค่าแห่งเพชร คือน้ำหนัก มีหน่วยเรียกเป็นกะรัต (Carat) สี ความบริสุทธิ์ และการเจียระไน ที่เรียกว่า 4C’s หรือคุณค่าแห่งเพชร 4 ประการ
น้ำหนัก (Carat) เพชร 1 กะรัตมีค่าเท่ากับ 0.2 กรัม 1 กะรัตมีค่าเท่ากับ 100 สตางค์ เพชร 0.50 กะรัต หมายถึงเพชร 50 สตางค์ น้ำหนักของเพชรจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกคุณ ค่าของเพชร ยิ่งเพชรมีขนาดใหญ่หรือน้ำหนักมาก็จะยิ่งมีราคาสูงมากตามไปด้วย
สี (Colour) เพชรที่มีสีขาวบริสุทธิ์ หายากและราคาแพง มาตรฐานการแบ่งสีของเพชรเริ่มจาก D จนถึง Z น้ำ D หมายถึงเพชรสีขาวบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำ E หมายถึง 99 เปอร์เซ็นต์ น้ำ F 98 เปอร์เซ็นต์ เพชรที่มีน้ำ D E F เท่านั้นจึงจะเรียกว่าเป็นเพชรไร้สี ตัวเลขจะลดหลั่นลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเพชร น้ำ D ก็จะมีราคาสูงที่สุด เนื่องจากความหายาก โดยปกติเราจะมองเห็นเพชรเป็นสีขาวเหมือนกันหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้ามองให้ละเอียดจะเห็นว่าเพชรมีโทนสีเหลืองหรือน้ำตาล เพชรที่มีน้ำ 94(J) ลงมาจะเริ่มมีโทนสีเป็นสีเหลือง ซึ่งราคาของเพชรก็จะถูกลงมาตามลำดับ

ความบริสุทธิ์ ( Clarity) เพชรโดยปกติแล้วจะมีร่องรอยและตำหนิโดยธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุ
ที่มาเป็นส่วนประกอบ ขนาดและจำนวนตำหนิของเพชรจะเป็นตัวกำหนดความบริสุทธิ์ของเพชร คือการมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และ การใช้กล้องที่มีกำลังขยายสิบเท่า เป็นมาตรฐานในการดูความบริสุทธิ์ของเพชร
การดูแลรักษา สำหรับการดูแลรักษาเพชรนั้นทำได้ง่าย เพียงแค่ล้างด้วยน้ำสบู่อุ่นๆ แล้วเช็ดให้แห้ง ภายหลังการใส่แล้วทุกครั้ง ไม่ควรเก็บเพชรไว้กับอัญมณีอื่นๆ และกับเพชรด้วยกันเอง เนื่องจากเพชรจะทำให้อัญมณีชนิดอื่นๆเป็นรอย และเพชรเมื่อขูดขีดกันเองก็จะทำให้เกิดเป็นรอยได้เช่นเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น